ถูกทิ้งให้ตายในรถ...โศกนาฏกรรมซ้ำๆของเด็กไทย !!!
บทความโดย ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์
14 พ.ค.56 เคสน้องพอตเตอร์ ( 3 ขวบ)
เช้าเวลา 8.00 ของวันที่
14 พ.ค.56
คุณครูอ.(ซึ่งเป็นผู้ขับรถรับส่งนักเรียนด้วย) ได้ขับรถปิกอัพ( กะบะหลังต่อเป็นโครงหลังคา
จัดให้มีที่นั่งสำหรับเด็ก) ที่โรงเรียนอุทุมพรวิทยา
อุทุมพรพิสัย จ.ศรีสะเกษ
และเช้านั้นเองที่คุณครูอ.ได้ให้การว่า ในวันเกิดเหตุตนได้สังเกตเห็นว่าน้องพอตเตอร์ได้วิ่งลงจากรถกับเพื่อนๆ
จึงคิดว่าคงเข้าห้องเรียนไปพร้อมกับเพื่อนๆแล้ว ตนจึงได้ปิดประตูรถ
จากนั้นก็ไปสอนตามปกติ จนกระทั่งเวลาเลิกเรียน
ได้เวลาไปส่งนักเรียนกลับบ้าน เมื่อไปเปิดประตูรถก็ต้องตกตะลึง
ที่พบว่าน้องพอตเตอร์นอนแน่นิ่งหมดสติอยู่บนเบาะรถ
พยายามปลุกเท่าไหร่ก็ไม่ให้ตื่น จึงรีบขับรถนำตัวน้องพอตเตอร์ไป
รพ.อุทุมพรพิสัย เพื่อให้แพทย์ช่วยเหลือ แต่ก็สายเกินไปแล้ว…ทางโรงพยาบาลฉีดยากระตุ้นก็ไม่มีความรู้สึก
สุดท้ายน้องพอตเตอร์ก็เสียชีวิต
( เด็กที่ติดอยู่ในรถ
คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ
แต่ความเป็นจริงแล้วอากาศภายในรถสามารถนอนได้นานเป็นชั่วโมง
แต่ส่วนใหญ่ที่เด็กเสียชีวิตเป็นเพราะความร้อนภายในที่สูงขึ้น
ใช้เวลาเพียง 5 นาที อุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ได้
ยิ่งนานเกิน 10 นาทีร่างกายจะแย่ และภายใน 30
นาทีก็ถึงขั้นเสียชีวิตได้ เพราะปกติร่างกายคนเราจะรักษาอุณหภมิไว้ที่
37 องศาเซลเซียส แต่เมื่อติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้น
ช่วงแรกร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ
แต่เมื่อถึงจุดที่ร่างกายทนไม่ไหว ร่างกายก็จะหยุดทำงาน
เกิดภาวะเลือดเป็นกรด สิ่งที่ตามมาคือ เด็กอาจหยุดหายใจ และ
อวัยวะทุกอย่างหยุดทำงาน)
3 เม.ย.56 เคสน้องเอย ( 3 ขวบ )
รถตู้โรงเรียนอนงค์เวท
จ.สมุทรปราการได้พานักเรียนไปส่งที่โรงเรียนในเวลาเช้าเหมือนเช่นเคย
คุณครู
ร.ได้ให้การว่าในขณะที่กำลังดูแลเด็กนักเรียนคนหนึ่งซึ่งมีอาการคลื่นไส้อาเจียนอยู่นั้น
น้องเอยได้ร้องไห้งอแงและบอกว่าลืมกระเป๋าไว้ในรถโรงเรียน
จากนั้นก็วิ่งไปที่รถ คุณครู
ร.จึงนึกว่าน้องเอยก็คงจะได้ไปเอากระเป๋าแล้วจากนั้นก็คงวิ่งไปเข้าห้องเรียนตามปกติ
หลังจากที่นักเรียนที่อาเจียนมีอาการดีขึ้น
ตนจึงเดินไปปิดประตูรถโรงเรียน(โดยไม่ได้ตรวจสอบ)
จากนั้นคุณครู ส. ซึ่งเป็นครูสอนคอมพิวเตอร์และเป็นคนขับรถตู้ด้วย
ได้ขับรถไปจอดภายในบริเวณโรงเรียนเช่นเคย
ดังนั้นน้องเอยจึงต้องติดอยู่ในรถตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งเวลาราว
เกือบบ่ายสองโมง ซึ่งคุณครูส.ไปเดรถเตรียมรับนักเรียนกลับบ้าน
จึงพบว่าน้องเอยได้อยู่ในรถในสภาพหมดสติ ใบหน้าเขียว
จึงรีบนำไปส่งโรงพยาบาล
น้องเอยได้กลายเป็น “เจ้าหญิงนิทรา”เป็นเวลาถึง 2
อาทิตย์ และเสียชีวิตเมื่อวันที่ 17 เม.ย.56
ราวกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา(พ.ศ.2555)
มีข่าวชวนช็อกคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งไม่น่าเชื่อเลยว่า
เพียงเพราะความ“ขี้ลืม”ของผู้ใหญ่
จะถึงกับทำให้เด็กต้องเสียชีวิตอย่างทรมาน ! เพราะต้องเผชิญกับความร้อนสูง
เป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมงจนเกิดภาวะเลือดเป็นกรด และหยุดหายใจ
เนื่องจากเด็กโดนขังอยู่ในรถยนต์
เพราะความขี้หลงขี้ลืมของผู้ใหญ่ !!!
เรื่องมีอยู่ว่าด้วยความรักและเมตตา คุณปู่วัย
65 และ คุณย่าวัย61
จึงรับหลานชายวัย 3 ขวบ 6เดือนมาเลี้ยงดูตั้งแต่หลานยังเล็กๆ(คุณปู่คุณย่าอาศัยอยู่
แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน )
ประกอบกับลูกชายกับลูกสะใภ้ทำงานที่โรงงานแถวบางบอนโดยคุณพ่อคุณแม่ของหลานจะมารับลูกไปนอนด้วยทุกเย็นวันเสาร์แล้วก็จะพามาส่งในค่ำวันอาทิตย์
เหตุร้ายที่ไม่ควรจะเกิดขึ้นนี้คือ เวลา เที่ยงเศษ ของวันที่ 18
ธ.ค. เมื่อคุณปู่พาหลานชายวัย3
ขวบกว่า ออกมาที่หน้าหอพัก เพื่อมาซื้อเงาะ
จากนั้นก็ปล่อยให้หลานวิ่งเล่นตามประสาเด็ก
สักครู่เดียวเมื่อคุณปู่จะเข้าบ้านแต่หลานกลับหายตัวไป
เดินหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ
กระทั่งเพื่อนบ้านต่างก็ช่วยกันออกตามมากระทั่งได้ ติดต่อ สถานีวิทยุสวพ.91และจส.100
เพื่อให้ช่วยประกาศตามหาโดยด่วนด้วยเกรงว่า
อาจโดนแก๊งลักเด็กเอาตัวไป แต่แล้วกว่า 8
ชั่วโมงผ่านไปก็ยังไม่พบหลานกระทั่ง
จึงมีเพื่อนบ้านไปพบร่างน้องเหนือนอนแน่นิ่งอยู่ในรถเก๋งคันหนึ่ง
ที่จอดอยู่ลานจอดรถหน้าแฟลตหลานนอนร่างหมดสติที่อยู่เบาะหลัง(ประตูรถไม่ได้ล็อก
) หลานยังอยู่ในชุดเสื้อยืดแขนสั้นสีฟ้าลายการ์ตูนนุ่งกางเกงขาสั้น
สีดำ ไม่หายใจ ปากซีดขาวผิวไหม้ เกรียมเหมือนถูกแดดเผา
มือทั้ง 2
ข้างกำแน่นไม่พบบาดแผลถูกทำร้าย ผู้ใหญ่รีบนำตัวส่งที่ ร.พ.บางมด
แต่แล้วก็ไม่สามารถช่วยชีวิตหลานได้แพทย์สันนิษฐานเสียชีวิตมาแล้วไม่เกิน
4 ชั่วโมง
คงไม่ต้องบรรยายว่าเหตุร้ายนี้นำความความเศร้าโศกเสียใจให้แก่พ่อแม่ปู่ยา
และเพื่อนบ้านมากมายขนาดไหน
30 พ.ค.55 เคสน้องป๋อ ( 4 ขวบ )
ช่วงเช้าของวันที่30
พ.ค.2555 คนขับรถโรงเรียนได้พาเด็กๆมาถึงโรงเรียนกล้าขยันกิติวุฒ
อ.สามชัย จ.กาฬสินธุ์ดังเช่นทุกวัน พลันที่ประตูโรงเรียนเปิดออก
นักเรียนแทบทุกคนต่างก็กรูกันวิ่งออกไปยังสนามโรงเรียนเพื่อเตรียมรอเข้าแถว
ยกเว้นแต่...เด็กชายป๋อ (4 ขวบ
เตรียมอนุบาล)ซึ่งเผลอหลับอยู่ที่เบาะด้านหลังของรถ โดยที่ไม่มีใครรู้
ไม่มีใครมาตรวจเช็ค น้องป๋อจึงถูกขังอยู่ในรถโดยปริยาย
กระทั่งหลังเลิกเรียนในเวลาบ่ายสามโมง
คนขับรถมาเปิดรถตามปกติ จึงได้พบร่างของน้องป๋ออยู่ในสภาพแน่นิ่ง
และที่น่าสลดใจอย่างยิ่งก็คือ...เด็กได้เสียชีวิตแล้ว...
จริงๆแล้วนี่คือ อีกกรณีของการตายซ้ำๆของเด็กๆ
...เพราะย้อนหลังไปราว2 -3ปีที่ผ่านมา
ก็เคยเกิดเหตุสลดเช่นนี้มาแล้ว...หลายครั้ง... เช่น เมื่อ ราว 2ปีก่อน
ในรายนายโชเฟอร์รถคนหนึ่งเมื่อขับรถโรงเรียนมาส่งเด็กนักเรียนตอนเช้าจากนั้นก็ปล่อยให้เด็กๆลงรถไปเข้าแถวทันที
โดยไม่ตรวจตราให้รอบคอบว่ายังมีเด็กชาย4
ขวบคนหนึ่งกำลังนอนหลับอุตุอยู่เบาะหลังรถ
เด็กน้อยผู้น่าสงสารจึงต้องโดนขังอยู่ในรถจนถึงเวลาเย็นโรงเรียนเลิกเด็กจึงเสียชีวิตเช่นเดียวกับกรณีแรก
(อำเภอสามชัยจังหวัดกาฬสินธุ์)
หรืออีกราย
ที่คุณพ่อคนหนึ่งซึ่งเป็นห่วงงานเป็นอย่างยิ่งเรียกได้ว่าเมื่อขับรถมาจอดใกล้ที่ทำงาน(หน้าร้านขายของชำ )
ก็รีบลงจากรถแล้วฉิวไปยังห้องประชุมทันที
โดยลืมไปสนิทเลยว่า...ยังมีเด็กหญิงวัย3
ขวบ นอนหลับอยู่ในรถ บริเวณพื้นหน้าเบาะหลัง !
ทั้งๆที่ท่านนี้เป็นคุณพ่อที่ใจดีโดยให้ลูกๆของเพื่อนที่เรียนโรงเรียนเดียวกับลูกสาวของตนติดรถมาด้วย
แต่บังเอิญว่า
วันนี้ลูกสาวไปธุระกับคุณแม่จึงได้แต่รับลูกสาวของเพื่อนบ้านมาผู้เดียว) เนื่องจากวันนี้จะมีการประชุมด่วน
ด้วยความเร่งรีบ เกรงจะเข้าประชุมไม่ทัน พอจอดรถได้ก็รีบลงจากรถวิ่งเข้าห้องประชุมทันที
โดยหลงลืมว่ายังมีเด็กน้อยนั่งหลับอยู่ในรถกว่าจะรู้ก็ในเวลาเลิกประชุมช่วงบ่ายแก่ๆ
เมื่อพบว่าลูกสาวของเพื่อนบ้าน นอนเสียชีวิต
น้ำลายฟูมปาก มีเลือดออกทางหูและปาก ในมือขวายังกอดขวดน้ำพลาสติกที่เปิดดื่มไปจนหมดแล้วไว้แน่น ใกล้ศพมีเสื้อ รองเท้า และขวดน้ำดื่มที่เปิดดื่มหมดแล้วอีก 2 ขวดวางอยู่ (แพทย์ ชันสูตรศพไม่พบบาดแผล หรือร่องรอยการถูกกระทำอนาจาร ก่อนระบุว่า เด็กเสียชีวิตมาแล้วราว 8-10 ชั่วโมง )
จากหลายกรณีที่เกิดขึ้นนี้ผมเชื่อว่าหลายๆคนคงเข้าใจว่าเหตุที่เด็กเสียชีวิตก็เนื่องจาก
เด็กติดอยู่ในรถ
ที่ประตูและหน้าต่างปิดสนิทเป็นเวลานานแล้วขาดอากาศหายใจ
แต่ในความเป็นจริงนั้น....
1..... แม้จะติดค้างอยู่ในรถ ก็ยังอยู่ได้นาน
แต่ที่เด็กต้องตายก็เพราะความร้อนภายในรถที่สูงขึ้น (เพียง 5
นาทีอุณหภูมิในรถจะเพิ่มสูงขึ้นจนไม่สามารถอยู่ในรถได้)หากอยู่ในรถผ่านไป
10 นาที ร่างกายจะย่ำแย่ และ ภายใน 30นาทีก็จะถึงขั้นเสียชีวิต
2.....
ปกติแล้วร่างกายจะรักษาอุณหภูมิร่างกายไว้ที่37
องศาเซลเซียส เมื่อต้องติดอยู่ในรถที่ความร้อนสูงขึ้นช่วงใหม่ๆ
ร่างกายจะขับความร้อนออกมาในรูปแบบของเหงื่อ แต่เมื่อถึงจุด
ๆหนึ่งร่างกายจะทนไม่ไหว ทำให้ร่างกายหยุดทำงาน
เกิดภาวะเลือดเป็นกรดหยุดหายใจและอวัยวะทุกอย่างหยุดทำงานหากพบเจอเด็กที่ติดในรถได้เร็วจะเจอในสภาพที่เด็กตัวแดงแต่หากนานเด็กจะตัวซีดและเสียชีวิตได้ครับ
3…. ดังนั้น...
จึงห้ามทิ้งลูกไว้ในรถที่จอดกลางแจ้งเป็นอันขาด(ไม่ว่าจะลืมหรือไม่ )
แม้จะอยากจะลงไปธุระนอกรถเร็วหรือช้าก็ห้ามเด็ดขาดครับ
หากพ่อแม่หรือผู้ใหญ่ที่มากับเด็กต้องลงจากรถต้องนำเด็กลงไปด้วยทุกครั้ง
4….. แม้แต่ จะขอเปิดหน้าต่าง
เหลือช่องไว้แล้วให้เด็กอยู่ภายใน
ด้วยเข้าใจเองว่าการกระทำเช่นนี้เด็กจะปลอดภัย จากการขาดอากาศหายใจ
แต่อย่างที่บอกไว้ข้างต้นละครับว่า...อย่าได้แต่ห่วงอย่างเดียวว่า
เด็กจะขาดอากาศหายใจ
แต่จะต้องห่วงใยให้มากๆกับกรณีที่เด็กเสียชีวิตจากความร้อนสูง
5..... การเปิดแง้มหน้าต่างรถทิ้งไว้ก็ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าความร้อนภายในรถจะไม่สูงขึ้นและช่วยให้เด็กปลอดภัยได้
หรือ แม้แต่การรถจอดในที่ร่มก็ใช้ว่าเด็กๆจะปลอดภัยไร้กังวล
เพราะความร้อนก็ขึ้นสูงปรี๊ด จนเด็กเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้เช่นกัน(
แม้อาจจะใช้เวลานานกว่ารถที่จอดกลางแจ้ง )
คงเห็นด้วยนะครับว่าความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย
ยิ่งท่านที่ต้องดูแลเด็กๆ
ก็ยิ่งจะประมาทมิได้เลยการบาดเจ็บและการเสียชีวิตเป็นสิ่งที่ป้องกันได้ครับ
ขอให้รอบคอบ ระวังระไวและไม่ประมาท....”ปลอดภัย-ไว้ก่อน”
ครับ.......
|