ระวัง !... สัตว์ร้ายพิษลึก

 

บทความโดย  ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์

 

 

แม้ว่าบรรดาสัตว์ทั้งหลายก็ล้วนแล้วแต่เป็นเพื่อนร่วมโลก แต่เมื่อพูดถึงสัตว์จำพวกมีพิษ ใครๆก็มักจะเบือนหน้าหนี พร้อมกับภาวนาว่าอย่าได้เจอะเจอกันเลย

แต่ถึงจะกลัวหรือรังเกียจเพียงใด ก็เป็นเรื่องที่จำเป็นที่ไม่ควรเลี่ยงที่ควรต้องทำความรู้จักพวกมันไว้บ้าง นั่นก็เพื่อ ความปลอดภัยไว้ก่อน ทั้งความปลอดภัยของลูกๆและของตัวคุณเอง

สัตว์ร้ายพิษลึกแม้จะมีอยู่มากมายหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น งู ตะขาบ แมงป่อง สารพัดสายพันธุ์ หรือเหล่าแมลงร้ายสารพัดประเภท แต่งวดนี้คงจะยกตัวอย่างมาก่อนสัก 2 ชนิด ซึ่งมีความน่ากลัว และมักจะเกิดเป็นข่าว(ร้าย)อยู่เสมอ

 

 

 

ต่อหัวเสือ

 

            ต่อหัวเสือ...ต่อยเด็ก4 ขวบตาย! (พาดหัวข่าวนสพ. 8 ก.ย.2552)

 

 

 “สลด...สามพี่น้อง ใช้ก้อนหินและเศษดินขว้างกิ่งไม้เพื่อเก็บจะลูกขนไก่ที่ไปติดคาอยู่ที่กิ่งไม้ใกล้รังต่อหัวเสือ   สุดท้ายพลาดถูกรังต่อแตก พวกมันจึงฮือ รุมต่อยเด็กจนตาย 1 สาหัส 2 ”
(อ.เมือง จ.อ่างทอง 18 มิถุนายน 2549)

 

 

            “ทารกน้อยวัยแค่ 6 เดือนที่กำลังหลับอุตุใต้ร่มไม้ต้องสิ้นใจตายอย่างน่าอนาถ เพราะโดนฝูงต่อหัวเสือรุมต่อยเป็นร้อยๆแผล...”( แหลมฉบัง ชลบุรี –31 สค. 45)

 

แมลงร้ายตัวเล็กๆสร้างตำนานมรณะซ้ำแล้วซ้ำอีก 

 

            ต่อหัวเสือเป็นแมลงอันตราย    ลักษณะของลำตัวมี สีดำ ปีกสีน้ำตาล ท้องมีแถบสีส้มปนเหลือง (คล้ายๆลายเสือ) มีขนาดลำตัวยาว 3.00-3.50 เซนติเมตร

 

            ต่อหัวเสือ...ในไทยแลนด์ของเรา พบได้ทั่วทุกภาค...พี่น้องอีสานเรียกว่า ต่อนอนเว็น (ต่อนอนกลางวัน) เพราะต่อหัวเสือนั้นกลางวัน มันจะนอนซ่อนตัวอยู่ในรัง... และเริ่มออกหากินในเวลากลางคืน พี่น้องทางใต้เรียกมันว่า ต่อรัดพัดผ้าแดง ก็คงดูจากรูปร่างสีสันในตัวของมัน ที่เหมือนเอาผ้าแดงๆมาพันคอไว้

 

วิธีการหากินของตัวต่อจะเข้าไปต่อยตัวหนอนให้ สลบแล้วจึงอุ้มตัวหนอนนั้นมาวางไว้ตามช่องภายในรังเพื่อเป็น อาหารลูกอ่อนของตัวต่อที่จะเกิดขึ้นมา... อาหารของต่อส่วนใหญ่จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ แต่มันก็ยังกินน้ำหวานเพิ่มเติมด้วยเพื่อใช้ในการเผาผลาญให้เกิดพลังงานแก่ร่างกาย แหล่งที่เป็นพลังงานสำคัญของต่อคือ น้ำหวานจากผลไม้สุกและเกสรดอกไม้ ในการกินเกสรดอกไม้ของต่อหรือผึ้งก็จะเป็นประโยชน์กับต้นไม้ เพราะเป็นการช่วยผสมเกสรให้ดอกไม้ไปในตัว

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
   
   
   
   
   
   
   
   
 

 

   
   
   
   
   

   
   
   
 

 

 

 

 

               

การกำจัดต่อเสือสามารถทำได้โดยใช้สารเคมีบางชนิด เช่น bendiocarb, carbaryl, diazinon, DDVP หรือ malathion ฉีดพ่นเข้าไปในรัง การทำลายรังต่อเสือจึงต้องกระทำอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ ต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้ความชำนาญ วิธีที่ปลอดภัยมากที่สุดในการทำลายรังต่อเสือ จะกระทำในเวลากลางคืน และต้องสวมใส่เสื้อผ้าหนาหรือหลายชั้นเพื่อป้องกันต่อต่อยและต้องสวมถุงมือที่หนา รองเท้าบู้ท และสวมหมวกเพื่อป้องกันต่อรุมต่อย แต่ไม่จำเป็นก็ไม่ควรไปทำลาย หากมีความจำเป็นต้องกำจัดก็ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ

 

 

 

อาวุธร้ายของมันก็คือ เหล็กใน (sting) ซึ่งจะซ่อนอยู่ตรงปลายสุดของลำตัว ที่แหลมเหมือนเข็มฉีดยา  ก็คล้ายกับผึ้ง แต่ที่น่ากลัวกว่าก็คือ...ในขณะที่ผึ้งจะต่อยได้แค่ครั้งเดียวแล้วก็ฝังเหล็กในไว้บนผิวหนังแล้วตัวมันเองก็ตาย (เหมือนพวกระเบิดพลีชีพไม่มีผิด!) แต่เจ้าต่อหัวเสือนั้น...เมื่อมันต่อย มันจะไม่ฝังเหล็กในทันที แต่จะถอนเหล็กในออกอย่างรวดเร็ว แล้วต่อยซ้ำๆ กันได้หลายๆ ครั้งติดต่อกัน(เหมือนต่อยรัวๆๆๆ)

 

            ใครที่โดนต่อหัวเสือถึงกับรุมเล่นงาน จะมีอาการหนักหนาสาหัสเพียงใด นั้น  ขึ้นอยู่กับชนิดของต่อที่ต่อย- ปริมาณพิษที่ได้รับ- และจำนวนครั้งที่โดนต่อต่อย

แต่ที่สำคัญก็คือ  แต่ละคนมีอาการแพ้พิษในระดับที่ไม่เท่ากัน ในขณะที่บางคนเพียงเจ็บคันและบวมเล็กน้อย   แต่บางคนนอกจากจะปวดบวมมากแล้ว เป็นลมพิษ   เกิดปฏิกิริยารุนแรง ถึงขั้นหายใจไม่ออก   ช็อคและเสียชีวิตได้

 

             คนที่โชคดีที่ไม่แพ้แมลง (non-allergic) ก็อาจแค่คันตรงบริเวณผิวหนังที่ถูกพิษ หรือเป็นตุ่มบวม เจ็บ แดง ร้อน แต่แบบนี้เป็นอาการไม่รุนแรงไม่น่ากลัว อาการรุนแรงสองแบบที่เรากลัวเป็นอาการภูมิแพ้ คือเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายต่อพิษของมันที่แทรกซึมเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งอาจทำให้เกิดปฏิกิริยาตามระบบต่างๆทั่วร่างกาย ที่อันตรายคือทำให้กล่องเสียง หลอดลมบวม เป็นเหตุให้ทางเดินหายใจอุดตัน หรือมีอาการหอบหืดเฉียบพลัน อีกอาการหนึ่งคือทำให้เกิดอาการช็อค จากหลอดเลือดส่วนปลายขยายตัวเฉียบพลัน อาการรุนแรงทั้งสองแบบนี้ไม่ต้องต่อยหลายตัว ไม่กี่ตัวก็เกิดได้เพราะเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกาย  อาการรุนแรงอีกแบบหนึ่งคือการถูกต่อยหลายๆตัว ได้รับพิษจำนวนมากที่เข้าสู่ร่างกาย จะเกิดผลเสียต่ออวัยวะต่างๆเช่นเกิดไตวายได้ เป็นต้น

 

การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อโดนตัวต่อต่อย

 

            1)   ใช้กระดาษหรือแผ่นพลาสติกแข็ง   เช่น   บัตรเติมเงิน   บัตรเอทีเอ็ม   กดข้างๆเพื่อเอาเหล็กในออก    ซึ่งจะช่วยลดปริมาณพิษลง และยังป้องกันแพ้อย่างรุนแรงได้

             2)   เอาถุงน้ำแข็ง   หรือแผ่นประคบเย็น   ประคบแผลเพื่อลดความเจ็บปวด   และอาการบวม

 

            3)   ใช้ครีมสเตียรอยด์เช่น 1% ไฮโดรคอร์ติโซน ทาบริเวณที่ถูกกัดวันละสามครั้งจนกว่าจะหาย

 

4)  กินยาแก้แพ้ ประเภทแอนตี้ฮิสตามีน เช่นไดเฟนไฮดรามีน

 

 

5) กรณีที่มีอาการแพ้อย่างรุนแรง   จะมีอาการหน้าบวม ตาบวม ริมฝีปากบวม บ่งบอกว่า

 

 

เยื่อบุทางเดินหายใจภายในจะบวมคล้ายๆกัน จะมีอาการหายใจเสียงดัง หายใจลำบาก   หรือหน้าซีด   ตัวเย็น ไม่ค่อยรู้ตัว   เป็นลม กรณีเช่นนี้ต้องรีบนำส่ง สถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุดโดยด่วนเลยนะครับ

 

หากในกรณีที่มีอาการรุนแรงคุณหมอจะให้ยาฉีดอดรีนาลีนทันทีเพื่อลดอาการบวมของทางเดินหายใจ

 

ป้องกัน อย่างไร จึงปลอดภัยจาก ต่อหัวเสือ ?

ที่สำคัญที่สุดก็คือ คุณพ่อคุณแม่ต้องสอนลูกๆหลานๆว่า พบรัง ต่อ แตน หรือผึ้งที่ไหนก็ตาม ห้ามเขี่ย-แหย่หรือทำลายรังของมันอย่างเด็ดขาด มิฉะนั้นก็จะเกิดเหตุร้ายอย่างที่เป็นข่าวมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน   ( หากไม่รู้วิธีจริง อย่าทำลายรังเอวโดยเด็ดขาด... การกำจัดเผาทำลายรังปล่อยให้เป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญเถิด)

อย่าเลือกอาศัยในบริเวณที่มีคนเพาะรังต่อเป็นอาชีพ ...เพราะเหตุว่า มีคนไม่น้อยเลยที่นิยมหม่ำตัวอ่อนของต่อ..  เปิบพิสดารเมนูนี้มี ทั้งย่าง-เผาไฟ-นึ่ง หรือเคี้ยวกันดิบๆ(ว่ากันว่ารสชาติหวานมันยิ่งนัก) แถมราคารังละ 300 บาท จึงมีคนยอมเสี่ยงภัยยึดอาชีพดังกล่าว เพราะเห็นว่าคู่แข่งน้อย แถมไม่ต้องลงทุนเพราะไม่ต้องให้อาหาร  บางบ้านจึงเพาะรังต่อไว้ถึง 20 -30 รังกันเลย

ที่เล่ามาทั้งหมด อาจทำให้เห็นว่าเจ้าต่อหัวเสือคือซาตานที่ไม่ควรผุดขึ้นมาในโลกนี้เลย  ซึ่งที่จริงแล้วโลกเราก็ได้คุณประโยชน์จากพวกมันไม่ใช่น้อยๆ  ทั้งภาคการเกษตรกรรม ที่กำจัดศัตรูพืชผักที่ปลูก เช่น   เพลี้ยอ่อน   หนอนผีเสื้อ   ตัวอ่อนตั๊กแตน โดยมันจะจับแมลงเหล่านี้กินเป็นอาหาร (แถมยังขนกลับไปกินที่รังอีกด้วย)    ในภาคระบบนิเวศน์ สร้างสมดุลให้ระบบด้วยการ กินซากเนื้อสัตว์

แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ใช่มิตรรักที่แสนเชื่องของมนุษย์อย่างแน่นอนครับ

 

 

 

            งู

 

              งูสัตว์เลื้อยคลานที่มีทั้งแบบพิษร้าย พิษไม่มากและ ไม่มีพิษ แต่พันธุ์ที่ต้องระวังให้จงหนักนั่นคือ...

 

งูจงอาง”ครับ    นอกจากมันจะเป็น เป็นงูพิษที่มีลำตัวยาวที่สุดในโลก (ยาวที่สุดถึง 5.6 เมตร ) พิษของมันรุนแรงขนาดล้มช้างตัวโตๆได้โดยพิษของมันใช้เวลาสังหารแค่ 3 ชั่วโมง แถมจงอางมหาภัยนี้ยังพบได้มากในทวีปเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ (นั่นคือรวมทั้งในประเทศไทยด้วย !)

 

 

 

นอกจากนั้นยังมีชื่องูพิษร้ายแรงที่ควรจะจดจำทั้งชื่อและลักษณะของพวกมันไว้ให้ดี นั่นคือ
งูเห่าไทย(Cobra) งูจงอาง (King cobra) งูสามเหลี่ยม (Banded krait) งูทับสมิงคลา (Malayan Krait) งูแมวเซา (Russell, s viper) งูกะปะ (Malayan pit viper) และงูเขียวหางไหม้ (Green pit viper) 

 

 

 

เราจะรู้ได้อย่างไรว่า งูที่กัดเราเป็นแบบมีพิษหรือไม่มี ?  คำตอบคือ ถ้าปรากฏเพียงรอยฟันเป็นรูปครึ่งวงกลม และจะมีอาการบวมเล็กน้อย นั่นหมายถึงโดนงูที่ไม่มีพิษ เพราะมัน จะมีแค่ฟัน ไม่มีเขี้ยว   

(การปฐมพยาบาลกรณีโดนงูไม่มีพิษกัด ล้างแผลให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเปล่า หรือน้ำยาฆ่าเชื้อโรคแล้วซับให้แห้ง แล้วปิดผ้าก๊อซที่สะอาด จากนั้นก็ไปพบแพทย์เพื่อฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก)

ดังนั้นการโดนงูที่มีพิษกัด จึงดูได้จากรอยเขี้ยว โดยรอยกัดนั้นโดยมากจะมี 2 รอย นั่นคือมีเขี้ยวพิษที่ด้านหน้าและด้านหลัง โดยมันจะ ระยะห่างกันราว 0.5-3 เซนติเมตร (แล้วแต่ขนาดงู) แต่หากมันกัดหลายครั้งมักจะเห็นมากกว่า 2 รอย ถ้ากัดไม่เต็มที่ อาจแต่ถ้าเห็นรอยข้างเดียว ก็แสดงว่ามันคงกัดไม่เต็มแรง หรือถ้าพบว่าแผลมีเพียงรอยขีดข่วนก็อย่าเพิ่งวางใจ เพราะมันมี พิษอยู่เช่นกัน

 

 

พิษของงูนั้นมีผลร้ายต่อคนเราใน3 ระบบคือ

1. งูที่ทำอันตรายต่อระบบประสาท เช่น  งูเห่าไทย งูเห่าพ่นพิษ งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา หลังถูกกัด  อาการก็คือ... เมื่อพิษร้ายเข้าแทรกซึมแล้วจะมีอาการง่วงซึม อ่อนแรง พูดจาอ้อแอ้ ขากรรไกรแข็ง หยุดหายใจ

2.  งูที่ทำอันตรายต่อระบบกล้ามเนื้อได้แก่งู ทะเล  หลังถูกกัด  อาการก็คือ...ปวดเมื่อไปทั้งตัว ทั้งแขนขา กระทั่งเคลื่อนไหวไม่ได้

3.  งูที่ทำอันตรายต่อระบบเลือด  งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้หลังถูกกัด  อาการก็คือ...   ตามผิวหนัง ไรฟันจะมีเลือดออกไม่หยุด อาเจียนและปัสสาวะเป็นเลือด