ทั้งๆที่ดูแลลูกอย่างสุดถนอมดังไข่ในหิน
ทั้งๆที่พยายามป้องกันภัยนานาอย่างสุดจิตสุดใจ
แต่แล้วก็พลาดจนได้
เพียงเพราะละเลยในบางเรื่องก็ทำให้ลูกรักต้องได้รับบาดเจ็บ
หรือต้องถึงกับสูญเสียลูกไปอย่าง...คาดไม่ถึง...
หากใครติดตามข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ ก็จะพบว่า
นี่คือข่าวที่มีให้สลดใจได้อยู่เสมอ..... แม่ใจสลาย
ลูก1 ขวบ-จมถังน้ำดับอนาถ!
เนื้อข่าวมีว่า เด็กวัยขวบเศษถูกปล่อยให้อยู่ลำพัง
โดยแม่และป้าต่างออกไปทำงานนอกบ้าน
แม้ว่าแม่จะอออกไปนั่งขายของห่างไปไม่เกิน 10 เมตร แต่เมื่อแว่บกลับมาดูลูก
ก็พบว่าลูก หัวและตัวของลูกทิ่มลงในไปถังน้ำที่สูงราว 70
ซ.ม.และมีน้ำอยู่ครึ่งถัง!
(คาดว่าหนูน้อยคงหย่อนแปรงซักผ้าลงไปในถังน้ำ
แล้วก้มลงไปเก็บ ศีรษะจึงจุ่มลงไปในน้ำ
และเสียชีวิตเพราะขาดอากาศหายใจ)
การสูญเสียลูกแบบ”คาดไม่ถึง” กรณีเด็กจมถังน้ำคือเรื่องที่ควรเป็นอุทาหรณ์ย่างยิ่ง
เพราะพบว่ามีผู้ใหญ่หลายๆท่าน
ที่นิยมนำถังสี(ถังพลาสติกที่เคยเป็นถังใส่สีมาก่อน)มาใช้งาน เช่น
นำมาเป็นถังซักผ้า หรือถังถูบ้าน
เพราะอาจเห็นว่ามันทั้งสูงทั้งหนาบรรจุน้ำได้เยอะดี
แต่นั่นกลับกลายเป็นจุดเสี่ยงประจำบ้าน
เมื่อมันมักจะมีน้ำคาอยู่ภายใน
แทนที่จะรีบเททิ้งแล้วคว่ำถังหลังจากใช้งานเสร็จ
หรือหากยังใช้งานยังไม่เสร็จก็ควรดูแลลูกเล็กอย่าให้คลาดสายตา
เพราะจะต้องไม่ลืมนะครับว่า การจมน้ำหรือขาดอากาศหายใจนั้น เพียงแค่ 4
นาทีก็อาจเสียชีวิตหรือเกิดภาวะสมองตายกลายเป็นเจ้าชายนิทรา
หรือแม้แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงอย่างพวกกะละมังก็เป็นเหตุให้เด็กจมน้ำตายมาแล้ว
เช่น เมื่อหลายปีก่อน หมู่บ้านย่านอ่อนนุช
มีปัญหาน้ำไหลไม่ค่อยเป็นเวลาเพราะดำลังซ่อมท่อครั้งใหญ่
ผู้คนจึงต้องพากันรองน้ำใช้กันอย่างทุลักทุเล
ใครมีภาชนะอะไรที่พอใส่น้ำได้ต่างก็ระดมกันออกมารองน้ำไว้ใช้
ในเวลาน้ำไม่ไหล
แต่นั่นอาจทำให้เกิดความคุ้นชินกับการมีภาชนะรองน้ำอยู่รอบบ้าน
โดยหลงลืมไปว่ามันอาจกลายเป็นจุดเสี่ยง ...และแล้วมันก็เกิดขึ้นจนได้
เมื่อคุณแม่ท่านหนึ่งมัวง่วนอยู่กับการทำงานบ้าน ในขณะที่ลูกสาววัย8
เดือนกำลังคลานต้วมเตี้ยมไปมาทั่วบ้าน
กว่าคุณแม่จะรู้ตัวอีกทีว่าลูกหายไปไหน
ก็มาพบลูกนอนคว่ำหน้าแน่นิ่งศีรษะจุ่มลงไปในกะละมังที่รองน้ำไว้
ลูกน้อยเนื้อตัวซีดเชียว
คุณแม่พยายามปฐมพยาบาลโดยการแบกพาดบ่าแล้วเขย่าๆ(ซึ่งเป็นวิธีที่ผิด)
เมื่อเห็นว่าลูกไม่ฟื้น จึงรีบส่งไปโรงพยาบาล
เด็กเข้ารักษาตัวในห้องไอซียู แล้ว 7วันต่อมาเด็กน้อยก็เสียชีวิต
ด้วยอาการติดเชื้อที่ปอด
ย้อนหลังไปหลายปีก่อน...หลายท่านคงจำภาพเจ้าหน้าที่ชายผู้หนึ่งยกเด็กน้อยที่คว่ำหน้าจมน้ำตายในโอ่ง
นั่นคือภาพอันน่าสลดใจบนข่าวหนังสือพิมพ์
ซึ่งเป็นดังสิ่งเตือนใจว่าบ้านใดที่ต้องใช้ ตุ่ม-ไห-โอ่งไว้รองน้ำ
หลังจากรองน้ำแล้ว ก็จะต้องรีบปิดฝาโอ่งฝาตุ่มไว้เสมอ
ยังมีอีกสิ่งที่ไม่น่าเชื่อนั่นก็คือ โถชักโครกไงละครับ เด็กหย่อนหัว
จุ่มน้ำในโถชักโครก แล้วดึงตัวขึ้นมาไม่เป็น
จนเสียชีวิตคาโถก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว
สมาคมกุมารแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา เคยออกประกาศเตือนภัยว่า
ใครมีลูกๆหลานๆอยู่ในวัย 1-2 ขวบจะต้องระวังเรื่องการจมน้ำตายให้จงหนัก
ในเด็กไทยของพวกเราเองก็มีสถิติที่น่ากลัวมิใช่น้อย
เพราะอัตราการตายเพราะจมน้ำนั้น อยู่ที่ 10 ต่อ 7 (ในประชากร 1 แสนคน)
โดยเด็กๆวัย 1 – 4 ขวบมีตัวเลขจมน้ำเสียชีวิตสูงกว่าเด็กญึ่ปุ่น 3 เท่า
และสุงกว่าเด็กสวีเดนอยู่ถึง 7 เท่า)
และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ
จุดที่เด็กๆของเราจมน้ำเสียชีวิตก็คือ
แหล่งน้ำภายในบ้าน-หรือใกล้ๆบ้าน... (เช่น
ส้วมชักโครกที่เปิดฝาไว้,
ถังน้ำ,กะละมังปริ่มน้ำ,โอ่งน้ำไม่ปิดฝา,บ่อน้ำไม่มีฝาปิดไม่มีรั้วกั้น
,สระว่ายน้ำ, ลำคลอง, คลองระบายน้ำ, แม่น้ำ ...ฯลฯ...)
ดังนั้นโปรดป้องกันไว้ตั้งแต่บัดนี้ครับ
1 ) อย่าปล่อยให้ลูกคลาดสายตา
โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบยิ่งต้องดูแลกันใกล้ชิด
ไม่ควรวางใจว่าเด็กวัยนี้จะหลบหลีกอันตรายต่างๆที่อยู่รอบตัวได้เป็นอย่างดี
อย่าปล่อยให้เด็กอยู่ในน้ำหรืออยู่ใกล้น้ำเพียงลำพัง
ไม่ว่าจะเป็นอ่างน้ำในบ้าน หรือบ่อน้ำ
สระน้ำนอกบ้านไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพียงใดก็ตาม
ดังนั้นถ้าคุณมีธุระ เช่น ไปรับโทรศัพท์ ,มีคนมาเยี่ยม,ไปดูทีวี
ก็ให้อุ้มลูกออกไปด้วยทุกครั้งครับ
2 ) ทำบ้านปลอดภัยให้ลูกรัก
ควรจะขยันสำรวจทั้งในและนอกบ้านอยู่เสมอๆว่า จุดใดคือจุดเสี่ยง
ที่อาจก่อให้เกิดอันตรายกับลูกๆหรือสมาชิกในครอบครัว
เมื่อพบแล้วก็ต้องรีบจัดการให้เรียบร้อย เช่น
- ไม่ปล่อยให้เด็กเล่นน้ำในกะละมังในอ่างน้ำโดยลำพัง
- ถ้ารองน้ำไว้ในถัง ในตุ่ม ในโอ่ง ต้องปิดฝาไว้ตลอดเวลา
- น้ำในถังในกะละมังหากไม่ได้ใช้ให้เททิ้งและคว่ำกะละมังคว่ำถังไว้ด้วย
- หากในบริเวณนั้นมีสระว่ายน้ำ มีบ่อ ให้ทำรั้วกั้น
เพื่อไม่ให้เด็กๆเข้าไปเล่นโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล
3 ) เด็กๆเมื่อถึงวัยแล้ว
จะต้องว่ายน้ำเป็นและรู้ถึงอันตรายของน้ำ
เมื่อลูก 5 ขวบขึ้นไป ควรจะพาลูกไปเรียนว่ายน้ำ
โดยเรียนกับคุณครูผู้มีความชำนาญ(ด้านการว่ายน้ำ)
แล้วก็อย่าเห็นเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยเลยนะครับ
ที่จะลงทุนให้ลูกในเรื่องของการว่ายน้ำ ที่ไม่เพียงตาว่ายน้ำ(พอจะ)ได้
ตาควรพยายามส่งเขาเรียนกระทั่งว่ายน้ำเก่ง โดยมีทั้งความชำนาญ
ความแข็งแรง และมีทักษะในการเอาชีวิตรอดยามเกิดเหตุฉุกเฉิน
ส่วนทักษะในการช่วยเหลือผู้อื่น(ที่จมน้ำ)นั้น ก็สามารถฝึกฝนต่อไปได้
เมื่อเขาเติบโตขึ้น...
4 )
ส่วนลูกที่อายุน้อยกว่า 5 ขวบ แม้ยังไม่พร้อมจะเรียนว่ายน้ำ
แต่ก็ยังพอจะฝึกฝนการรู้จักช่วยตัวเองให้โผล่พ้นน้ำขึ้นมาได้เมื่อตกน้ำ
และพอจะประคับประคองตนเองได้ เพื่อให้ผู้พบเห็นช่วยได้ทัน
นอกจากนั้นการจูงมือเด็กๆ ให้ไปสำรวจจุดเสี่ยงด้วยกัน
พร้อมกับให้คำแนะนำและคำห้ามปราม
ก็น่าจะได้ผลดีในเรื่องของความปลอดภัยไม่น้อยเลย
เช่น พาไปสระว่ายน้ำ แล้วเดินไปดูไปสัมผัสถึงความลื่นของขอบสระ
ที่ไม่ควรวิ่งเล่นในบริเวณนี้อย่างเด็ดขาด แล้วแนะนำอีกว่า
ก่อนจะลงว่ายน้ำจะต้องทำการวอร์มอัพ หรือบริหารร่างกายก่อนลงสระ
เพื่อให้ร่างกายได้ปรับสภาพความพร้อมก่อนจะออกกำลังกาย
มิฉะนั้นอาจเกิดปัญหากล้ามเนื้อได้รับบาดเจ็บ กล้ามเนื้อเกร็ง
หรือ ตะคริวกินระหว่างกำลังว่ายน้ำ
ข้างต้นนี้เป็นเพียงกรณี “จมน้ำตาย.อย่างคาดไม่ถึง”
ซึ่งหวังว่าคุณพ่อคุณแม่คงจะได้ “คาดถึง “ หรือ “ตระหนักถึง”
เพื่อจะได้ระมัดระวังและป้องกันไว้ก่อน
สำหรับ “ภัยอื่นๆที่คาดไม่ถึง”
ก็จะนำมาเล่าสู่กันฟัง(อ่าน)ในโอกาสต่อๆไปนะครับ...
|