ระวังไว้ อย่าให้ลูก เสียโฉม !”

 

  บทความโดย   ประจวบ ผลิตผลการพิมพ์

 

หลายวันก่อนได้นั่งเปิดข่าวออนไลน์เกี่ยวกับความปลอดภัยในเด็ก ในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ให้เกิดฉุกคิดได้ว่า หลายๆครั้งที่เรามักห่วงใยเด็กๆในเรื่องต่างๆ เช่น ของติดคอ สมองโดนกระเทือน การแตกหักของกระดูกกระเดี้ยวต่างๆ แต่มักหลงลืมที่จะให้ระมัดระวัง “ใบหน้า” ที่สดใสน่ารักของหนูตัวน้อยทั้งหลาย

 

 

“  เด็กชายหวัง เซี่ยงเป็ง ( 6 ขวบ ) ชาวเมืองหยินฉวน ในมณฑลหนิงเซีย เล่นไฟแช๊ค จนได้รับอุบัติเหตุ ไฟลวกใบหน้าจนเสียโฉมทั้งใบหน้า ไม่มีผม ไม่มีใบหู ไม่มีคิ้ว ไม่มีดั้งจมูก ไม่มีขนตา ไม่มีริมฝีปาก เหมือนคนสวมหน้ากาก แถมยังต้องถูกตัดนิ้วทั้งสองข้าง !

 (รายงานจาก สำนักข่าวต่างประเทศ ปี 2010)

 

 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

ส่วนข่าวนี้ก็เพิ่งเกิดขึ้นในบ้านเรา เมื่อเร็วๆนี้เองครับ

 

 

 

             เด็กชาย อายุ 6 ขวบ (เรียน  ม. 1  ) จุดระเบิดปิงปองเล่น แต่ระเบิดไม่ทำงาน จึงแกะดินระเบิดออกมากองไว้ แล้วจุดไฟ จนเกิดระเบิดขึ้น ส่งผลให้ได้รับบาดเจ็บที่ใบหน้าและดวงตา

ใน ขณะที่เด็กชายเจ้าของระเบิดถึงกับ ดวงตาดำข้างซ้ายแตก และตาบอดในที่สุด

ต.ท่าเคย อ.ท่าฉาง สุราษฎร์ธานีวันนี้(2 ม.ค.56)

 

 

 

 

 

 

 

                ธรรมชาติแห่งพัฒนาการของเด็กในแต่ละวัยนั้น  เป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่จำเป็นต้องเรียนรู้  และทำความเข้าใจ

 

 

 

                เด็กวัยแบเบาะ (ทารก3 เดือนแรก)  ก่อนจะวางลูกน้อยนอนเปล หรือที่นอนเด็ก (ไม่ควรเป็นบนเบาะหนานุ่ม ที่เสี่ยงต่อใบหน้าของเขา จะจมลงไป  แล้วปิดปากปิดจมูก  ทำให้ขาดอากาศหายใจจนเสียชีวิต)  ให้ปัดที่นอนทุกครั้ง และ มีวัตถุใดๆหรือไม่ เช่น เศษแก้ว เศษไม้ เศษหิน ลวดหนีบกระดาษ(แม๊ก) เข็มหมุด เข็มกลัดอันแหลมคม ( หากใช้ผ้าอ้อมผ้าห่มที่ใช้เข็มกลัดซ่อนปลาย ก็ควรเช็คทุกครั้งด้วยว่า ปลายเข็มอันแหลมคมนั้น  ได้เก็บให้เข้าที่หรือไม่ ?) 

 

  

               

         ในความรู้สึกของหนูน้อยวัยนี้ สิ่งต่างๆรอบตัวล้วนแล้วแต่เป็น โลกใหม่ ที่ช่างน่าตื่นเต้น ไปซะทั้งหมด! ยิ่งเมื่อเริ่มเดินได้คล่องแคล่ว  เขาจะเคลื่อนตัวเข้าไปสำรวจทุกๆที่ด้วยความอยากรู้อยากเห็น พร้อมกับการสัมผัสทุกสิ่งที่พบ 

 

 

                ดังนั้นโอกาสที่เขาจะเจ็บตัวจากอุบัติเหตุ  จึงมีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว

 

 

แต่ การคอยห้ามคอยกันอยู่ตลอดเวลา ก็เท่ากับปิดกั้นพัฒนาการของลูกในทุกๆด้าน  ผู้ใหญ่อย่างพวกเราจึงควรให้เด็กมีอิสรภาพในการเคลื่อนไหว  ในการเรียนรู้  โดยคอยประคับประคองและดูแลเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด            

 

 

 

                ความเผอเรอของคนดูแลเด็ก มักก่อเกิดอันตรายกับลูกอย่างคาดไม่ถึง  ยิ่งเมื่ออยู่ในวัยชอบเดินชอบลุยยิ่งต้องระมัดระวัง ในเรื่องของพลัดตกจากที่สูง และ การลื่นล้ม

 

 

 

โดยเฉพาะการลื่นล้มกระแทกพื้นนั้น  นอกจากจะทำให้ใบหน้า เป็นแผล หรือได้รับความกระทบกระเทือนแล้ว จมูก ปากและ ฟันก็อาจหักและกระเทือนไปถึงโพรงประสาทข้างในอีกด้วย

 

 

 

 

และที่ร้ายแรงก็คือ...การมีเลือดคั่งในสมอง  เพราะกระทบกระเทือนถึง”สมอง”  ซึ่งยังมีหลายท่านที่ยังไม่รู้ว่า หลังการลื่นล้มใหม่ๆอาจจะไม่มีบาดแผลอะไรเลย หรือเพียงแต่หัวโนหัวปูด  หรือหัวแตก จึงปล่อยเลยตามเลย ไม่ได้ส่งไปตรวจรักษาโดยด่วน กระทั่งหลายรายต้องเสียชีวิตหลังจากที่ได้รับบาดเจ็บแค่ไม่กี่วัน 

 

 

 

 

อาการเลือดคั่งในสมองที่พอสังเกตได้ก็คือ  ปวดหัว มึนงง  คลื่นไส้  อาเจียน  ง่วงซึม  และ การทรงตัวไม่ดี   สลบเหมือด  หรืออาจเสียชีวิตหากรักษาไม่ทัน

   ดังนั้น เมื่อพูดการลื่นล้ม  จุดแรกที่ทุกคนย่อมคิดถึงก่อนก็คือ...”พื้นบ้าน” 

 

1

 

... อย่าปล่อยเจ้าตัวเล็ก(ตั้งแต่เดินได้ ถึงก่อน3ขวบ)เข้าห้องน้ำตามลำพัง เแต่จะต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดจากผู้ใหญ่

 

 

2..   เลือกวัสดุปูพื้นห้องน้ำที่มีพื้นผิวหยาบ หรือมีความฝืดสูง   และงดเว้นการใช้วัสดุปูพื้นที่ลื่นๆมันๆ ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้อง หรือหินขัด ซึ่งแม้จะดูหรูหราแต่..ความลื่นของมัน ได้ทำอันตรายแก่คนในบ้านมานักต่อนักแล้ว

 

 

 

3...ขจัดบรรดาเศษชิ้นส่วนที่ทำให้พื้นห้องน้ำกลายเป็น “จุดเสี่ยง” ต่อการลื่นล้ม ไม่ว่าจะเป็น

    เศษสบู่ชิ้นเล็กชิ้นจิ๋วฝังอยู่ตามซอกหรือติดอยู่ตามพื้นห้องน้ำ  รวมทั้งคราบแชมพู  ยาสีฟัน  ผงซักฟอก หรือแม้แต่น้ำยาล้างพื้นล้างส้วม ที่น้ำยาไหลย้อยหยด เพราะนอนตะแคง ไม่ได้ปิดฝา หรือขวดรั่วซึม

 

 

4... เลือกใช้ ยางกันลื่นที่เกาะพื้นแน่นๆและกันลื่นได้จริงๆ มิฉะนั้น ลูกๆและคุณอาจ ต้องลื่นล้มเพราะ...เหยียบยางกันลื่นส่วนผ้าหรือพรมปูพื้นหน้าห้องน้ำ ควรเลือกสไตล์หนา-หนัก-แห้ง มิฉะนั้นก็อาจเกิดปัญหาลื่นไถลได้เช่นกัน

 

 

                            5ห้องนอนของลูก ควรเลือกพื้นไม้ หรือกระเบื้อง ชนิดที่ข้อดีก็คือมันไม่ลื่น (มาก) แถมราคาไม่แพง บางท่านชอบพรมปูพื้น(หากมีงบพอ และมั่นใจว่าขยันดูดฝุ่น ) ซึ่งก็มีทั้งแบบหนานุ่ม และ ชนิดบางขนสั้น แต่ไม่ว่าจะเลือกแบบใดการปูพื้นจะต้องแนบแน่นไม่เลื่อนขยับไปมาในเวลาเหยียบหรือเดิน         (ควรหลีกเลี่ยง การวางพรมลงบนพื้น เพราะด้วยความซนของเด็ก หรือความเผลอของผู้ใหญ่ก็อาจพลั้งเหยียบแล้วลื่นไถลได้)

 

 

                                6...อย่าให้พื้นในห้องครัวเปียกน้ำ หรือลื่นด้วย คราบน้ำมัน        หากพบเข้าก็ต้องรีบเช็ดถูออกโดยทันที

 

 

                                7...วัสดุที่ใช้ปูพื้นของระเบียงบ้าน   ควรเน้นที่ ไม่ลื่นและมีความฝืดสูง เนื่องจากบริเวณนี้มักจะลื่นเพราะเปียกน้ำอยู่เสมอ โดยเฉพาะในฤดูฝน...

 

 

                             8 ... อย่าปล่อยให้เจ้าตัวน้อย เล่นกับสัตว์เลี้ยงตามลำพัง
                      ยิ่งลูกยังเด็ก  ทั้งวัย 6 เดือนขึ้นไป ที่ชอบคว้าโน่นๆดึงนี่ หรือ วัยก่อน6 ขวบ ก็กำลังเป็นเจ้าจอมซน ชอบนักที่จู่ๆก็เข้าไป จับ ดึง หรือแหย่สัตว์เลี้ยง (หรือแม้แต่สัตว์ที่ไม่ได้เลี้ยง) โดยยังไม่ว่าเข้าใจว่าอันตรายอย่างไร เด็กเล็กจึงมักจะโดนสัตว์เลี้ยงขบ กัด ทำร้ายได้เสมอ  หลายคนถึงกับเป็นแผลเหวอะหวะ เสียโฉม หรือสูญเสียดวงตาไปเลย (เช่น โดนแมวข่วนใบหน้า ตะปบตา )

 

 

ดังนั้นนอกจาก อย่าปล่อยให้เด็กเล็กอยู่กับสัตว์เลี้ยงตามลำพังแล้ว ยังจะสอนเด็กไม่ให้รังแกสัตว์ เช่น ดึงหู ดึงหาง แย่งจานอาหาร ของเล่นสัตว์ และ อย่าลืมฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้าให้กับสัตว์เลี้ยงด้วยนะครับ

 

 

                          หากลูกยังเล็กนัก คุณพ่อคุณแม่จะต้องคอยดูลูกอย่างใกล้ชิด อย่าปล่อยให้คลาดสายตาอย่างเด็ดขาด เมื่อลูกโตกว่านี้ ซึ่งน่าจะหลังจาก 6 ขวบ ลูกก็จะเริ่มเข้าใจคำสอนมากขึ้น โดยสอนด้วยภาษาง่ายๆ

เช่น....หมาหลับอย่าแหย่ ..    หมาหิวอย่ายั่ว ..   หมากัดกันอย่ายุ่ง

                   .. หมาให้นมลูกอย่ากวน    .. หมาเห่าอย่าวิ่ง

 

 

 


ทำอย่างไร!!!...ถ้าถูกสัตว์กัด (หรือเกิดบาดแผล)

1. รีบล้างแผลด้วยสบู่และน้ำ (แม้จะไม่มีแผลก็ควรล้างคราบน้ำลายออก)
โดยล้างผ่านน้ำก๊อกและฟอกสบู่หลายๆ ครั้ง จากนั้นใช้แอลกอฮอล์ 70% หรือน้ำเกลืออุ่นๆ
ทำความสะอาดรอบๆ แผล หรือใช้สำลีชุบน้ำยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ทาบริเวณรอบๆ แผล
การล้างแผลต้องทำให้ดีใน 6 ชั่วโมงหลังถูกกัด มิฉะนั้นแผลจะติดเชื้ออักเสบได้ง่าย

2. แผลที่ติดเชื้อง่ายคือแผลที่เป็นรูลึก ล้างให้สะอาดได้ยาก เช่น แผลแมวกัด
ซึ่งเขี้ยวแมวจะแหลม เวลากันไม่กระชากเหมือนหมากัด อีกอย่างหนึ่งคือบริเวณที่มีเส้นเอ็น เช่น มือ จะติดเชื้อได้ง่ายครับ

3. กดบาดแผลด้วยผ้าสะอาดเพื่อห้ามเลือด ปกติประมาณ 5 นาที เลือดก็หยุดไหล
แต่ถ้าไม่หยุดไหลอาจจะเป็นเพราะถูกเส้นเลือดใหญ่ หรือเด็กที่ถูกกัดเป็นโรคเลือดหยุดยากชนิดใดชนิดหนึ่ง ต้องรีบพาไปหาแพทย์รักษาครับ
 
4. ถ้าสุนัขฉีดวัคซีนแล้ว และเจ้าของมีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าสัตว์เลี้ยงของเขาได้รับการฉีดวัคซีน ป้องกันโรคพิษสุนัขเป็นที่เรียบร้อย
และสังเกตเห็นว่าสัตว์ตัวนั้นไม่มีอาการผิดปกติ เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ถูกกัดก็ไม่ต้องไปฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า

5. หากไม่มั่นใจ ว่าหมา แมวหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่นๆ ที่กัดจะเสี่ยงหรือไม่ให้พาเด็กหรือ
ผู้ใหญ่ที่โดนกัดไปสอบถามแพทย์ หากจำเป็นคุณหมอจะได้ให้ฉีดวัคซีนป้องกันพิษสุนัขบ้า ฉีดอิมมูโนโกลบูลิน (ภูมิต้านทานสำเร็จรูป)

 

 

wwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwwww